ตามมารยาทของคนไทยก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ ท่านสมาชิกและท่านผู้สนใจเข้าชมเว็บทั่วไป ” ครั้งที่แล้วทนายป๊อดทนายแรงงานได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง เงินค้ำประกันการทำงานจบไว้เป็นตอนแรกครับเนื่องจากมีระยะเวลาในการเขียนน้อยไปสักนิด จึงจบเป็นบทความตอนแรกไว้แบบยังไม่สมบูรณ์ครับ ดังนั้นในคราวนี้ ทนายป๊อดทนายแรงงาน จะมาขยายความเกี่ยวกับเรื่องการค้ำประกันการทำงานต่อจากคราวที่แล้ว ทุกๆ ท่าน ได้อ่าน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 10 ไปแล้วพอจะมองเห็นภาพของการเรียกรับเงินค้ำประกันการทำงานแล้วนะครับว่ากฎหมายได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของนายจ้างไว้อย่างไร ในครั้งนี้ทนายป๊อดทนายแรงงานจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมในเงื่อนไขข้อกำหนดวิธีการในการเก็บรักษาเงินของนายจ้างและจำนวนอัตราเงินค้ำประกันการทำงานตลอดจนการกำหนดหน้าที่และตำแหน่งงานที่นายจ้างสามารถที่จะเรียกรับเงินประกันการทำงานหรือการประกันการทำงานด้วยบุคคล ซึ่งทุกท่านจะเห็นได้ว่าในบทบัญญัติมาตรา 10 พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานประกาศหลักเกณฑ์ ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกรับหลักประกันจากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทหลักประกัน จำนวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษา ทุกๆท่านคงจำกันได้นะครับ คราวนี้เราตามไปพร้อมๆกันครับว่ารัฐมนตรีได้มีประกาศและกำหนดเรื่องเงื่อนไขหลักเกณฑ์ดังกล่าวว่าอย่างไรครับ มาดูพร้อมๆๆกันเลย คลิกที่นี้ ครับ
http://www.labour.go.th/th/webimage/images/law/doc/law10072551-1.pdf
หลังจากที่อ่านประกาศดังกล่าวแล้วพอจะสรปุได้ดังนี้ครับ
1. ตำแหน่งหน้าที่งานที่สามารถเรียกรับเงินประกันหรือบุคคลค้ำประกันการทำงานได้คือ
(๑) งานสมุห์บัญชี
(๒) งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน
(๓) งานควบคุมหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมีค่า คือ เพชร พลอย เงิน ทองคํา ทองคําขาวและไขมุก
(๔) งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้างหรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง
(๕) งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน
(๖) งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ
(๗) งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคลังสินค้า ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจํานอง รับจํานํา รับประกันภัย รับโอนหรือรับจัด ส่งเงินหรือการธนาคาร ทั้งนี้เฉพาะลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการที่ว่านั้น
2. หลักประกันการทํางานหรือหลักประกันความเสียหายในการทํางานมี 3 ประเภท ได้แก่
(๑) เงินสด มูลค่าจำนวน 60 เท่าตามข้อ 3.
(๒) ทรัพย์สิน เช่น สมุดเงินฝาก ,หนังสือค้ำประกันธนาคาร มูลค่าจำนวน 60 เท่าตามข้อ 3. ห้ามแก้ไขเป็นชื่อของนายจ้าง
(๓) การค้ำประกันด้วยบุคคล มูลค่าจำนวน 60 เท่าตามข้อ 3. ต้องทำสัญญาค้ำประกัน 3 ฉบับ
ดังนี้ 1. ฉบับนายจ้างเก็บรักษา 2. ฉบับลูกจ้างเก็บรักษา 3. ฉบับผู้ค้ำประกันเก็บรักษา
+ ถ้านายจ้างเรียกรับหลักประกันทั้งสามประเภทรวมกัน มูลค่าหลักประกันทุกประเภทไม่เกินจำนวน 60 เท่าตามข้อ 3.
3. จํานวนเงินที่เรียกหรือรับต้องไมเกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ
ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างได้เงินค่าจ้างคำนวณแล้วได้วันละ 300 บาท จำนวนเงินค้ำประกันคือ 300 X 60 = 18,000 บาท
+ ถ้าเงินประกันลดจำนวนลงนายจ้างสามารถเรียกเพิ่มให้ครบจำนวนเงินค้ำประกัน
4. สถานที่เก็บรักษาเงินประกันการทำงาน
+ ให้นายจ้างนําเงินประกันฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น โดยจัดให้มีบัญชีเงินฝากของลูกจ้างแต่ละคน และให้แจ้งชื่อธนาคาร พาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น ชื่อบัญชี และเลขที่บัญชี ให้ลูกจ้างทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รับเงินประกัน
+ ค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เกิดขึ้นในการดําเนินการตามในการเก็บรักษาเงินประกันนายจ้างเป็นผู้ออก
อ่านแล้วบางท่านอาจสับสนได้ ทนายป๊อดทนายแรงงาน จึงได้จัดทำเป็นสรุปแยกหัวข้อให้ดู อ่านง่ายขึ้นครับ ดังนั้น นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ค้ำประกัน คงจะมีความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายแล้วนะครับ ว่าต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดไว้อย่างไรบ้าง ก่อนจะจบขอฝากไว้ว่าให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตนให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนดไว้นะครับ จะได้ไม่มีปัญหาพิพาทกันในเรื่องนี้ครับ .....สวัสดี...ทนายป๊อดทนายแรงงาน