คำวินิจฉัยที่10/2555

         คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน  4,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์ โดยกล่าวอ้างว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา เมื่อปี พ.ศ. 2549 ถึงปี 2551 ระหว่างปี 2548 ถึงปี 2552 จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หลายๆครั้ง  กล่าวคือ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 ขณะที่โจทก์เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่โรงเรียนสมบูรณ์วิทยานุกูล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับจำเลย จำเลยได้จัดทำเอกสารเท็จในการอนุมัติเปิดการเรียนการสอนหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วิทยาศาสตร์การกีฬา) ต่อคณะกรรมการอุดมศึกษา โดยอ้างว่าโจทก์เป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งเป็นความเท็จ และในระหว่างที่โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยในหลักสูตรสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ตำแหน่งอาจารย์ประจำนั้น จำเลยไม่แจ้งคำสั่งแต่งตั้งโจทก์เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรไปยังคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มาตรา 11 และ 18 ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ต่อมาปี 2551 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานภาค 3 เพื่อขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานให้โจทก์ในตำแหน่งอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่จำเลยหรือตัวแทนโดยเจตนาไม่สุจริตได้ออกหนังสือรับรองดังกล่าวให้แก่โจทก์ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงรวม 2 ฉบับ ฉบับแรกระบุว่าโจทก์ทำงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาสังกัดสำนักกิจการนักศึกษา ฉบับที่ 2 ระบุว่าโจทก์ทำงานตำแหน่งอาจารย์ ทำหน้าที่อาจารย์ผู้ช่วยสอนรายวิชากรีฑา  (กรีฑาประเภทลู่และประเภทลาน) สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะสาธารณสุข ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 

 

       จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำเอกสารขออนุมัติเปิดการเรียนการสอนหลักสูตรวิทยาบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ต่อคณะมาการอุดมศึกษาเป็นเท็จแต่อย่างใด ที่จำเลยใช้ชื่อโจทก์เป็นอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรดังกล่าว เป็นการดำเนินการตระเตรียมเพื่อขอเปิดหลักสูตรในปีการศึกษา 2549 ซึ่งจำเลยตกลงรับโจทก์เขาทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนวิชากรีฑา (กรีฑาประเภทลู่และประเภทลาน) ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2549 อัตราค่าจ้างเดือนละ 8,000 บาท และตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มิได้บัญญัติให้จำเลยต้องรายงานการแต่งตั้งอาจารย์ผู้ช่วยสอนไปยังสำนักคณะกรรมการอุดมศึกษาเอกชน จึงถือว่าไม่ใช่เป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทั้งเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายกำหนด โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานภาค 3 ซึ่งจำเลยได้ชำระเงินช่วยเหลือโจทก์ 50,000 บาทโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้ และจำเลยได้ออกไปสำคัญการผ่านงานให้โจทก์ โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวค่าเสียหาย 4,000,000 บาท โจทก์ไม่ได้แสดงให้ปรากฏแห่งความเสียหายที่โจทก์รับและเกินความจริงทั้งโจทก์ได้รับความเสียหายไปจากจำเลยแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยได้อีกขอให้ยกฟ้อง

 

          ศาลจังหวัดนครราชสีมา พิจารณาวินิจฉัยว่าเป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานพิพากษายกฟ้อง

 

           โจทก์อุทธรณ์ 

            ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลจังหวัดนครราชสีมา และสั่งให้ศาลจังหวัดนครราชสีมาส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อนว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ศาลจังหวัดนครราชสีมาจึงส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัย

 

           อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว โจทก์ฟ้องโดยกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หลายครั้ง กล่าวคือ จำเลยจัดทำเอกสารเท็จในการอนุมัติเปิดการเรียนการสอนหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วิทยาศาสตร์การกีฬา) ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา อ้างว่า โจทก์เป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งเป็นเท็จ และหลังจากจำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาแล้วไม่แจ้งคำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษานอกจากนี้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้โจทก์เสียหาย และขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจากการละเมิด เห็นว่า เฉพาะคำฟ้องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยจัดทำเอกสารเท็จว่าโจทก์เป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อขออนุมัติเปิดการเรียนการสอนต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษานั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องว่าขณะเกิดเหตุดังกล่าวโจทก์ยังเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่โรงเรียนสมบูรณ์พิทยานุกูล โจทก์กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างและนายจ้างกันแต่อย่างใด แม้จะเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ก็เป็นการกระทำละเมิดก่อนจำเลยจะจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลย กรณีจึงไม่ใช่มูลละเมิดสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทแรงงานเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างได แต่เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 ลักษณะ 5 ละเมิดคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนนี้ จึงไม่มีลักษณะเป็นข้อพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 8

 

          ส่วนคำฟ้องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ขณะโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยนั้น จำเลยไม่แจ้งคำสั่งแต่งตั้ง โจทก์เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามที่พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 กำหนดก็ดี และเมื่อโจทก์ออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยแล้ว จำเลยมีเจตนาไม่สุจริตออกหนังสือรับรองการทำงานให้โจทก์ไม่ถูกต้องตามเป็นจริงก็ดี ทำให้โจทก์เสียหายนั้น เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ทำให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเสียหาย คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5) 

          วินิจฉัยว่าคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทำเอกสารเท็จไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน แต่คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยไม่แจ้งคำสั่งแต่งตั้งโจทก์เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาต่อคณะคณะกรรมการการอุดมศึกษา และจำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานให้โจทก์ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน

           

          วินิจฉัย ณ  วันที่ 24 มกราคม 2555

บทความอื่นๆ ในหมวดเดียวกัน

คำวินิจฉัยที่ 28/2559

คำวินิจฉัยที่ 28/2559

สัญญาจ้างลูกจ้างของโรงเรียนเอกชนเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่........

 คำวินิจฉัยที่19/2555

คำวินิจฉัยที่19/2555

ผู้บริหารมีฐานะเป็นพนักงานวิสาหกิจหรือไม่

ความเห็นของผู้ชม