คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าและชำระเงินค่าจ้าง 796,000 บาทกับค่าเสียหาย 4,800,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องและยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล โดยกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย จำเลยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ และมีคำสั่งพักงานโจทก์อย่างไม่เป็นธรรมตั้งแต่วันที่ที่ 15 มิถุนายนพ.ศ. 2537 จนถึงวันฟ้อง ทั้งจำเลยเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนักงานอัยการเพื่อให้โจทก์ได้รับโทษอาญาอันเป็นการกันแกงโจทก์ ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยว่าด้วยวินัยการสอบสวนและการลงโทษสำหรับพนักงานและลูกจ้างพ.ศ. 2532 ข้อ 10 ที่กำหนดว่า เมื่อได้ความว่าผู้สั่งพักงานไม่ได้กระทำผิดและไม่มีมลทิน มัวหมองคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยจะต้องสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเทียบเท่าและจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างระหว่างพักงานเต็มอัตรา แต่จำเลยเพิกเฉย ทั้งการที่จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีค่าทนายความ และทำให้โจทก์ทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจและเสื่อมเสียชื่อเสียง
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้วมีคำสั่งให้ ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีดีอยู่ในอำนาจ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัย
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางพิจารณา คำฟ้องส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยสั่งพักงานโจทก์อย่างไม่เป็นธรรม ต่อมาภายหลังปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดใดๆตามที่จำเลยกล่าวหาจำเลยจึงมีหน้าที่รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า และจ่ายเงินเดือนหรือถ้าจ้างเต็มอัตราระหว่างที่โจทก์ถูกพักงานตามระเบียบของจำเลย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรับ โจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างนับแต่วันที่โจทก์ถูกพักงานจนถึงวันฟ้องนั้น เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลย ผู้เป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) สำหรับคำฟ้องส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าการที่จำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์และจำเลยเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา จนภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วเป็นการทำให้โจทก์เสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีค่าทนายความและทำให้โจทก์ทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจและเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้บังคับจำเลยชำระคดีค่าเสียหายส่วนนี้ เห็นว่า แม้โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างนายจ้างกันก็ตาม แต่ข้อที่อาศัยเป็นหลักข้อหาตามฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยแจ้งความดำเนินคดีและเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาจนทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการกล่าวอ้างการกระทำต่างหากที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานโดยตรง แต่เป็นการใช้สิทธิ์เรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 หนี้ ลักษณะ 5 ละเมิด คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนนี้จะไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8
วินิจฉัยว่าคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยรับโจทก์กับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าและให้จำเลยจ่ายเงินเดือนค่าจ้างระหว่างพักงานโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลโลกแรงงาน แต่คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากมูลละเมิดไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
วินิจฉัย ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555